วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

อ่านหนังสือหมื่นเล่ม มิเท่าเดินทางพันหลี้

                 ก่อนเดินทางเข้าสู่สมรภูมิหุ้น ผมได้อ่านหนังสือมาหลายเล่ม และได้เห็นประสบการณ์ที่ผิดพลาดใน " การลงทุนในหุ้น " ของคนใกล้ตัวมาพอสมควร ผมได้เลือกหุ้นมาตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นหุ้นพลังงานทดแทน สาเหตุที่ผมเลือกหุ้นตัวนี้นั้น ก็เพราะได้แนวคิดมาจากหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งเป็นแนวคิดของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffet)  เหตุผลที่ผมเลือกหุ้นตัวนี้ คือ
  1. เป็นธุรกิจที่มีรายได้แน่นอนกึ่งผูกขาด เมื่อทางบริษัทผลิตไฟฟ้าได้แล้ว ก็มีสัญญาการซื้อขายไฟฟ้าจากภาครัฐ
  2. ประเทศไทยยังขาดแคลนพลังงานไฟฟ้า เนื่องจากต้องรับซื้อจากต่างประเทศ
  3. ตอนแรกผมได้เข้าไปได้เว็บไซต์บริษัทดูการลงทุนก่อสร้าง ซึ่งเป็นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ปีแรก ผลิตได้ 8 เมกกะวัตต์   ปีสอง ผลิตได้ 90 เมกกะวัตต์   ปีสาม ผลิตได้ 90 เมกกะวัตต์  ต่อจากนั้นก็ยังมีพลังงานลมอีก " เห้ยกำลังการผลิตมันเพิ่มทุกปีนี่หว่า  รายได้มันก็เพิ่มขึ้นทุกปีคนเห็นก็ต้องมาแห่กันมาซื้อแน่ ๆ " มีคนอาจจะแย้งผมว่าอ้าว ถ้าบริษัทผลิตไฟฟ้าเสร็จไม่ทันตามเป้าละจะทำไง  ผมก็สังเกตจาก ปีแรก โรงงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ 8 เมกกะวัตต์ มันผลิตได้ตรงตามเป้าแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร  ก็แปลว่าโรงที่สองมันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แล้วอีกอย่างหนึ่ง ผมได้ไปฟัง Opportunity Day ของบริษัท  บริษัทได้อธิบายการก่อสร้างอย่างละเอียดตั้งแต่ทำเลว่า  " น้ำไม่ท่วม ที่ตั้งแพงโซลาร์สูงเท่าไร การวางระบบสายไฟต้องว่าแบบไหน   พูดคุยกันถึงขนาดส่วนประกอบของแผงโซลาร์ " ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญอย่างมากในการก่อสร้าง แล้วผมก็สังเกตตอนนักลงทุนถามคำถามในตอนท้ายผู้บริหารก็ตอบคำถามได้หมด เป็นอันว่าพอลดความเสี่ยงได้บ้าง
  4. ราคาตอนผมซื้อสูงกว่า ipo ไม่มาก ถึง PE จะสูง แต่ยังมีโครงการก่อสร้างมีมากมาย แล้วมีการก่อสร้างเพิ่มทุกปี ซึ่งจะมีรายละเอียดบอกว่า ก่อสร้างเสร็จวันที่เท่าไร ทำให้เราสามารถคาดการณ์รายได้  รายได้ที่เห็นก็จะทบต้นทุกปี
  5. สำหรับความเสี่ยงอีกอย่างหนึ่งก็คือ ไบโอดีเซล ถึงแม้ในตอนนั้นสัดส่วนรายได้จะมากกว่าในส่วนของพลังงานไฟฟ้า แต่ความพลันพวนของราคาหรือผลผลิตปาล์มน้ํามัน เมื่อเทียบกับรายได้จากการขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนแล้ว ถือเป็นความเสี่ยงที่ยอมรับได้
  6. มีการจัดโรดด์โชว์ให้ผู้ถือหุ้นเยี่ยมชมโชลาร์ฟาร์ม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับผู้ถือหุ้น และ การเปิดเผยข้อมูลกับนักลงทุน
            หลังจากนั้นก็ตัดสินใจซึ้อหุ้นตัวนั้น กะว่าจะถือยาวซัก 4 ปี แล้วค่อยว่ากันใหม่ แต่เมื่อถือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน  "เทพเทือก"  ประกาศปิดกทม ด้วยความเป็นมือใหม่ เกิดความโลภ ผมเทขายทำกำไรแล้วกะว่าจะช้อนซื้อ ในราคาที่  "ถูกลง" แต่ปรากฎว่ามันไม่ยอมลง ขึ้นไป  7 บาท 8 บาท 9 บาท  หุ้นตัวเทพผม ไปพร้อมกับเทพเทือกแล้ว............ 



วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ชำแหละ "ธุรกิจที่ปรึกษา" โอกาสหลังม่าน AEC (ข่าว)

จะไปลงทุนในอาเซียน แต่ไม่รู้ต้องเริ่มแบบไหน ยังมีโจทย์มากมายที่ต้องรู้ กลายเป็นโอกาส “ธุรกิจที่ปรึกษา” แจ้งเกิดใน AEC
ยังมีโอกาสให้ธุรกิจไทยแจ้งเกิดในตลาดอาเซียน !
ไม่เพียงธุรกิจน้อย-ใหญ่ จะดาหน้าเข้าไปลงทุนเสี่ยงโชคในตลาดนี้ แต่ยังกลายเป็น "โอกาสทอง" ของธุรกิจที่ปรึกษา ไม่ว่าจะเป็น ที่ปรึกษากฎหมาย ระบบไอที บัญชีการเงิน กลยุทธ์ธุรกิจ การบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ ที่ปรึกษาด้านวิศวกรรม การตลาดและประชาสัมพันธ์ ไปจนถึงที่ปรึกษาด้านภาพลักษณ์ ฯลฯ
ตอบโจทย์ความกระหายใคร่รู้ ของธุรกิจไทย ที่อยากเข้าไปทำตลาด
แต่ "กลัวพลาด" จึงต้องขอ "ตัวช่วย"
สิบปีมาแล้วที่เข้าไปให้คำปรึกษาในประเทศลาว ตามมาด้วยพม่าหลังเปิดประเทศ สำหรับบริษัท อินดิโก คอนซัลติ้งกรุ๊ป จำกัด ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ สัญชาติไทย ที่ได้รับความไว้วางใจจากธุรกิจขนาดใหญ่ในไทย กลุ่มเอสเอ็มอี ไล่ไปจน ธุรกิจต่างชาติ
บริการหลักของพวกเขา คือ การบริหารจัดการคน หนึ่งในเรื่องยากของการเริ่มต้นธุรกิจ ในตลาดที่ไม่คุ้นเคย
ไม่ว่าจะหาคนอย่างไร วางตำแหน่งงานแบบไหน อัตราค่าจ้างเป็นอย่างไร ถึงจะสู้กับตลาดได้ ต้องฝึกคนแบบไหน กระทั่งวางโครงสร้างเรื่องคนอย่างไร ถึงจะทำให้องค์กรขับเคลื่อนไปได้อย่างแคล่วคล่อง
เพราะต้องเข้าไปในตลาดใหม่ที่ไม่รู้จัก บริการคำปรึกษา จึงจำเป็นมากสำหรับผู้เริ่มต้นธุรกิจ
“จะเห็นเลยว่า บริษัทที่เข้าไปลงทุนในอาเซียน ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ บริษัทชั้นนำ แบรนด์ดังๆ ซึ่งการที่เขาจะเข้าไปตั้งบริษัทในประเทศที่ไม่คุ้นเคย จะต้องรู้ค่าใช้จ่าย ควรกำหนดค่าจ้างเงินเดือนอย่างไร หาคนจากไหน ใช้กลยุทธ์อะไร บางทีเขารู้อยู่แล้วเพราะเป็นนโยบายจากบริษัทแม่ แต่เรื่องคนนี่ แม้แต่บริษัทแม่เองก็ยังไม่รู้”
“ดร. จิราพร พฤกษานุกูล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินดิโก คอนซัลติ้งกรุ๊ป จำกัด บอกเล่าความสำคัญของธุรกิจบริการที่ปรึกษา ที่จะช่วยผู้ลงทุน เริ่มต้นธุรกิจได้ง่ายขึ้น
บริษัทคนไทย โดยเฉพาะเอสเอ็มอี ยังไม่ค่อยเห็นความสำคัญมากนักกับข้อมูลและบริการจากบริษัทให้คำปรึกษา ยกเว้นธุรกิจขนาดใหญ่ ต่างจากบริษัทอินเตอร์ ไม่ว่าจะจากยุโรป หรืออเมริกา ที่ "ข้อมูลที่เชื่อถือได้” จำเป็นมากๆ เรียกว่าทุกอย่าง ต้องชัวร์ ต้องเป๊ะ! ถึงจะยอมเดินหน้าธุรกิจ
นั่นคือเหตุผลที่ลูกค้าส่วนหนึ่งของพวกเขา จึงเป็นเหล่าบริษัทอินเตอร์ ที่สนใจซื้อข้อมูลและใช้บริการที่ปรึกษาในอาเซียน !!
"อินดิโก" เริ่มกลยุทธ์ของพวกเขา ด้วยการเข้าไปทำแบบสำรวจค่าจ้างเงินเดือนในอาเซียน เริ่มจากลาวและพม่า สองตลาดสำคัญที่นักลงทุนทั้งไทยและอินเตอร์ เข้าไปลงทุนกันอย่างครึกครื้นในช่วงที่ผ่านมา
ยกตัวอย่าง ประเทศลาว ที่เข้าไปให้บริการเมื่อสิบปีก่อน เริ่มจากบริษัทคนไทยซึ่งเข้าไปลงทุนที่นั่น ขอให้อินดิโอ ไปช่วยเซ็ทบริษัทให้ ทำกันตั้งแต่ การวางโครงสร้างเงินเดือน ทำแบบประเมินผล อบรมคนลาวให้ใช้เครื่องมือเป็น จนธุรกิจสามารถตั้งต้นและเดินหน้าต่อไปได้
“จนถึงทุกวันนี้ เราก็ยังไปทำให้เขาอยู่ อย่างพอมีผู้บริหารเข้ามาใหม่ ก็ต้องไปเทรนระบบใหม่ให้กับเขา ซึ่งคนลาวเขายังไม่ค่อยคุ้นเคยกับระบบพวกนี้ พอเราไปสอน เขาก็เหมือนกับน้ำที่ยังไม่เต็มแก้ว และชอบการฝึกอบรมเอามากๆ”
พวกเขาบอกเล่าประสบการณ์ในประเทศลาว ก่อนขยายความให้ฟังว่า ความต้องการบริการที่ปรึกษาในประเทศลาวอยู่ในระดับปานกลาง เนื่องจากลาวพัฒนาไปค่อนข้างมาก โดยมีบริษัทเอกชนไทย เข้าไปเปิดบริการที่ลาวมากขึ้น เริ่มมีการแข่งขันเรื่องเงินเดือนที่สูงขึ้น ขณะที่ลาวเพิ่งปรับฐานเงินเดือนข้าราชการให้สูงขึ้น ทำให้คนหันไปทำงานราชการมากขึ้น จนเอกชนเริ่มหาคนยาก จึงต้องปรับฐานเงินเดือนหนีเงินเดือนข้าราชการขึ้นไปอีก เปิดทางให้พวกเขาได้เริ่มงานใหญ่อีกครั้ง
ขณะที่ประเทศพม่า “ดร.เดวิด บินเนียน” ผู้อำนวยการ บริษัท อินดิโก คอมซัลติ้งกรุ๊ป จำกัด กูรูที่ปรึกษาด้าน HR เล่าว่า เข้าไปพม่าเมื่อประมาณ 3 ปีก่อน โดยร่วมกับบริษัทที่ปรึกษาสัญชาติยุโรป ไปให้บริการกับกลุ่มนายพลก่อนเปิดประเทศ หลังจากนั้นก็เปิดให้บริการมาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากที่ผ่านมา พม่าค่อนข้าง “เนื้อหอม” โดยมีนักลงทุนสนใจเข้าไปลงทุนเยอะมาก จึงขยับลูกค้ามาเป็นทั้งบริษัทพลังงานจากไทย บริษัทต่างชาติที่เข้าไปลงทุนในพม่า รวมถึงบริษัทในพม่าเอง
โมเดลการทำงานของอินดิโกที่พม่า คือ ร่วมกับบริษัทที่ปรึกษาต่างประเทศ และที่ปรึกษาท้องถิ่นของพม่า เติมเต็มจุดแข็งและความเชี่ยวชาญ สร้างความเชื่อถือในบริการที่ปรึกษา พร้อมช่วยให้การทำงานในพม่าง่ายขึ้น
ส่วนโครงการที่เข้าไปทำในพม่า พวกเขาบอกว่า ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องพื้นฐาน เหมือนที่ไทยเคยทำเมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว เช่น การเขียนคําบรรยายลักษณะงาน (Job Description) ทำโครงสร้างเรื่องคนให้มีความคล่องตัวขึ้น รวมถึงการจัดทำเรื่องค่าจ้าง เงินเดือน และผลประโยชน์ เหล่านี้ เป็นต้น
“บริการที่ปรึกษาในไทยและอาเซียน ไม่ได้แตกต่างกัน เรียกว่าอยู่ในกรอบเดียวกัน เพียงแต่ว่า ความต้องการของลูกค้าในแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน อย่างไทยตอนนี้ไประดับแอดวานซ์แล้ว คือเราพัฒนาไปเยอะมาก ฉะนั้นบริการจะเป็นการทำงานเชิงรุก หาเครื่องไม้เครื่องมือใหม่ๆ เข้ามาใช้ และมีโจทย์ใหม่ๆ เข้ามาตลอดเวลา ซึ่งท้าทายเพราะตอนนี้คนไทยเก่งขึ้น แต่ลาวเขาจะอยู่ในระดับกลางๆ รองจากไทย ส่วนพม่าเขาเพิ่งเปิดประเทศ ฉะนั้นยังเป็นความต้องการพื้นฐานเหมือนไทยเมื่อ 10-20 ปีที่แล้ว”
อินดิโก คือที่ปรึกษาด้าน HR พวกเขาเก่งและเชี่ยวชาญในงานด้านนี้มากว่าสิบปี จึงได้รับความ “ไว้เนื้อเชื่อใจ” จากลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ การทำงานในปัจจุบัน ไม่ใช่ระบบ “ฉายเดี่ยว” แต่พร้อมเป็นตัวเชื่อมบริการคำปรึกษารอบด้าน เพื่อให้บริการที่ครบถ้วนตามความต้องการของลูกค้า เขาเล่า
“อย่างเอสเอ็มอีที่อยากขยายไปต่างประเทศ การจะลุยดุ่ยๆ เข้าไปเลย เขาก็ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน บริการที่ปรึกษาจึงสำคัญมาก ที่สำคัญเราไม่ได้มีให้แค่คำปรึกษาเรื่องคน แต่ถ้าเขาอยากรู้เรื่องกฎหมาย ไอที การตรวจสอบ หรือเรื่องอื่นๆ เราก็มีคอนเนคชั่นจากบริษัทที่ปรึกษาทั้งในและต่างประเทศ จึงสามารถให้คำแนะนำเขาได้ นี่เป็นการทำงานร่วมกันของบริษัทที่ปรึกษาในปัจจุบัน เพื่อให้บริการที่ครบตรงความต้องการของลูกค้า”
สำหรับอัตราค่าบริการ “ที่ปรึกษา” เขาบอกว่า ประเทศไทยจะใช้อัตรา (เรท) ที่เป็นสากล สำหรับลาวธุรกิจอินเตอร์ ก็ยอมจ่ายในเรตสากล แต่ประเทศพม่า บริษัทท้องถิ่นยังไม่ได้ให้คุณค่ากับด้าน HR มากนัก เพราะฉะนั้นค่าฟี (ธรรมเนียม) ก็จะต่ำลงมายกเว้นบริษัทอินเตอร์ในพม่า ที่จะยอมจ่ายในเรตซึ่งเป็นสากลเช่นเดียวกัน
“การคิดค่าบริการในราคาเท่าไรนั้น เดี๋ยวนี้มันจะมีเทคนิคการขาย เพราะถ้าจะไปขายบริษัทท้องถิ่น เราจะแบ่งเป็นส่วนๆ ไป เพื่อให้เขารู้สึกว่า จ่ายได้นะ ไม่ใช่เป็น Big Project อะไร แต่บริษัทต่างชาติ เขาชอบให้เราเสนอไปทั้งหมด เพราะคุ้นเคยกับค่าใช้จ่ายตรงนี้อยู่แล้ว”
อัตราค่าบริการในปัจจุบัน เลยขึ้นกับขนาดขององค์กร ความยากง่ายและความซับซ้อนของปัญหา ส่วนค่าบริการจากบริษัทที่ปรึกษาท้องถิ่น กับแบรนด์อินเตอร์ ราคาจะต่างกันที่ประมาณ 50% เรียกว่าถูกกว่ากันครึ่งต่อครึ่ง
“สำหรับคนที่อยากเข้ามาทำธุรกิจนี้ เพราะเห็นว่าเป็นโอกาส อย่างแรกเลย คือ ธุรกิจนี้ต้องสั่งสมประสบการณ์ ยิ่งเราเป็นคนไทยด้วยแล้ว ก็ยิ่งต้องมีประสบการณ์ เพราะองค์กรใหญ่ๆ เขาจะให้ความเชื่อมั่นในที่ปรึกษาฝรั่งมากกว่า เป็นความยากของวัฒนธรรมแบบไทยๆ อีกเรื่องคือ การศึกษา และประวัติการทำงาน ถ้าคุณมีประวัติการทำงานที่ดี มีการศึกษาที่ดี ก็มีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะธุรกิจที่ปรึกษาต้องสร้างความเชื่อถือ ถ้าไม่มี ธุรกิจก็ไม่เกิด”
-----------------------
ที่ปรึกษาด้านวิศวกรรม
จุดตัด "โอกาส - อุปสรรค"
เปลี่ยนมุมมาดูธุรกิจ "ที่ปรึกษาด้านวิศวกรรม" ที่กำลังเติบโตอย่างมากในบ้านเราซึ่งคาดกันว่ามีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 4-5,000 ล้านบาทต่อปี และมีโอกาสอีกมหาศาลเช่นกันในตลาดอาเซียน โดย “ดร. กีรติ กิจมานะวัฒน์” ผู้บริหาร บริษัท พีเอสเค คอนซัลแทนส์ จำกัด บริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในการวางแผนและออกแบบระบบขนส่งมวลชนโครงสร้างพื้นฐาน และการวางแผนพัฒนาเมืองด้วยบุคลากรวิศวกร ซึ่งจดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทวิศวกรที่ปรึกษาไทย และจดทะเบียนตามกฎหมายไทย ตั้งแต่ปี 2554
บริการของพวกเขามีตั้งแต่ การวางแผนหลักการขนส่ง ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ ออกแบบรายละเอียด ควบคุมงานก่อสร้าง และการบริหารงานโครงการ ให้กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เรียกว่าให้บริการที่ปรึกษาในทุกขั้นตอน ตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงการนำไปสู่การปฏิบัติจริง
สำหรับในอาเซียน พวกเขาเข้าไปวางแผนแม่บทสำหรับระบบขนส่งมวลชนของเมืองย่างกุ้ง ซึ่งเป็นบริษัทร่วมในการรับงานของ Japan International Cooperation Agency (JICA) องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น รวมถึงที่เวียดนาม เข้าไปทำระบบรถไฟฟ้าที่ฮานอยสายหนึ่ง
“สำหรับอาเซียน เรียกว่ามีทั้งโอกาสและอุปสรรค โอกาสคือ ยังมีประเทศที่จำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานเกิดขึ้น อย่างพม่า ซึ่งเขามีทรัพยากรธรรมชาติ ที่จะจ่ายได้ ลาว ก็มีโอกาส แต่ความสามารถในการลงทุนจะน้อยกว่า ส่วนเวียดนามเคยเป็นฐานของเรามีวิศวกรรมที่ปรึกษาเข้าไปทำงานเยอะมาก แต่ความต้องการน้อยลงเพราะเขาสร้างฐานด้านวิศวกรรมไปเยอะแล้ว”
มองเห็นโอกาสแต่ "อุปสรรค" ก็ยังมีให้เห็น เพราะประเทศอย่าง สิงคโปร์ อินโดนีเซีย หรือ มาเลเซีย ก็คือคู่แข่งสำคัญของไทย เราอาจมีฝีมือและประสบการณ์ แต่จุดอ่อนสำคัญก็คือ “ความสามารถทางด้านภาษา” และนี่เองที่สกัดดาวรุ่งในการเติบใหญ่ในอาเซียน
“จุดนี้เราต้องระวัง เพราะการไปแข่งในอาเซียน เราต้องใช้ภาษาอาเซียน หรือภาษาอังกฤษ ซึ่งนี่คือปัญหาใหญ่ของวิศวกรไทย ที่น่าตกใจ และต้องพัฒนาโดยเร่งด่วน ตอนนี้บริษัทที่ปรึกษาก็พยายามรับพนักงานที่มีทักษะด้านภาษาอังกฤษ เพื่อรองรับการเปิดตลาดในอาเซียน เพราะถ้าเปิดเออีซี เราจะเจอกับวิศวกรมาเลย์ อินโด ที่จะมาแย่งงานเรา และในประเทศที่เราจะเข้าไป ขณะที่เราจะกลับไปแข่งขันในบ้านเขาก็ลำบาก ไม่ใช่เพราะเขาปิดนะ แต่เพราะความสามารถทางภาษาเราไม่ถึง”
การพัฒนาทักษะของคน จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการปิดจุดอ่อนในตลาดที่ปรึกษา
ขณะที่ปัญหาที่สองคือ “แหล่งเงินทุน” ที่จะมาช่วยขับเคลื่อนธุรกิจของบริษัทที่ปรึกษาสัญชาติไทย
“ธุรกิจที่ปรึกษาในไทยส่วนใหญ่ดูแลตัวเอง อย่าง งานโครงการรัฐซึ่งอาจมีจ่ายล่าช้าไปบ้าง เราก็ต้องดูแลตัวเอง แต่การไปลงทุนต่างประเทศเราต้องมีแหล่งเงินทุนที่ชัดเจน งานวิศวกรรมที่ปรึกษาสินทรัพย์ของเราคือสมอง ฉะนั้นจะมีกลไกอย่างไรที่จะทำให้เราเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น เพื่อไปลงทุนในต่างประเทศ เราต้องดูอย่างสิงคโปร์เขามีแหล่งทุนมหาศาล ดังนั้นนอกจากเขาจะไปจับจองตลาดที่เป็นโอกาสของเราแล้ว เขายังจะเข้ามาแข่งขันในบ้านเราได้อีกด้วย”
เขาบอกว่า เมื่อเห็นจุดอ่อนก็ต้องรีบแก้ เพื่อสร้างแต้มต่อให้กับที่ปรึกษาสายพันธุ์ไทย จะได้มีที่ยืนอย่างสง่างามในสนามอาเซียน เพราะถึงอย่างไรสำหรับงานด้านวิศวกรรม คนไทยก็ไม่แพ้ชาติใด วิศวกรไทย ค่อนข้างทำงานได้ครบรอบด้าน เรียกว่าตั้งแต่เริ่มต้นจนจบโครงการ ฉะนั้นใครจะเข้ามาตี “ยาก” เรื่องความรู้ความสามารถเรายังพร้อมและได้เปรียบ
ขณะนักลงทุนไทยที่ไปลงทุนในอาเซียน ก็มักจับมือกับวิศวกรรมที่ปรึกษาไทยเข้าไป ด้วยเหตุผลคือ มีความไว้เนื้อเชื่อใจ แต่อย่างไร เขาบอกว่า การทำงานก็ต้องมีที่ปรึกษาท้องถิ่นในประเทศนั้นๆ ด้วย เพราะโลคัลคอนซัลท์ จะมีข้อมูล และช่วยให้การทำงานต่างบ้านของเราทำได้ง่ายขึ้น
“เปิดอาเซียน ยังเป็นโอกาสของธุรกิจที่ปรึกษา แต่ผู้ประกอบการด้านนี้ก็ต้องปรับตัว คือให้เตรียมพร้อมเรื่องกำลังคน เพราะการบริหารคนสำคัญมาก คนมากไปบริษัทก็มีปัญหา แต่ถ้าน้อยไป ก็ไม่สามารถรับงานและเติบโตได้ สอง ต้องบริหารคุณภาพคน คือทำอย่างไรให้คนของเรามีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถไปทำงานเดี่ยวๆ เองได้ และสามต้องมีความสามารถด้านภาษา”
เตรียมคนให้พร้อม รู้จุดอ่อนจุดแข็งตัวเอง เติมเต็มส่วนที่ยังขาด ก็สามารถแข่งขันได้ในตลาดอาเซียน
---------------------------------
Image Consultant 
"ผู้นำ" ภาพลักษณ์ต้องชนะเลิศ !!
อีกหนึ่งธุรกิจที่ซ่อนอยู่ แต่ใครจะรู้ว่านี่ก็เป็นโอกาส กับ “Image Consultant” ที่ปรึกษาด้านภาพลักษณ์ให้กับผู้นำ ผู้บริหาร แม้แต่พนักงานองค์กร ซึ่งไม่แค่ให้บริการเหล่านักลงทุนหรือธุรกิจไทยที่เข้าไปในอาเซียนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโอกาสในการทำตลาดเพื่อนบ้านด้วย
“วีณา ทองแถม” โค้ชด้านบุคลิกภาพ (Image Coach) คนไทยคนแรกที่ Certified หลักสูตร Styling Coaching จากประเทศอังกฤษ และหลักสูตร Men Styling จาก BBI สหรัฐอเมริกา สมาชิก AICI (Association of Image Consultant professional) ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ที่สั่งสมชั่วโมงบินจากการทำงานจนได้รับการยอมรับในวันนี้
เธอบอกว่า การได้นำชื่อตัวเอง เขาไปติดอยู่ใน AICI ซึ่งได้รับการยอมรับทั่วโลก มี Certified การันตี เปิดโอกาสให้สามารถขยายบริการที่ปรึกษาไปแจ้งเกิดในอาเซียนได้
“การที่ชื่อของเราไปลิสต์อยู่ในระดับนี้ได้ ทำให้ลูกค้าจะสามารถค้นหาเราได้ง่ายขึ้น ยิ่งมี Certified ก็เหมือนกับได้รับการรับรองพวก ISO นั่นแหล่ะ ทำให้เขายิ่งเชื่อมั่น โดยเฉพาะอาเซียน เขาจะรู้สึกว่า อะไรที่เป็นมาตรฐานสากลมารับรอง จะยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้น โอกาสของเราจึงเยอะขึ้นตามไปด้วย”
อย่างไรก็ตาม ตลาดอาเซียน มีอาชีพที่ปรึกษาด้านภาพลักษณ์อยู่เยอะพอสมควร แต่ที่เชื่อว่ายังเป็นโอกาส เพราะเพื่อนบ้านให้การยอมรับคนไทย เชื่อสายตาคนไทย ชอบแบรนด์ไทย ซื้อเสื้อผ้าจากไทย และนี่น่าจะยังเป็นโอกาสของธุรกิจที่ปรึกษาทางด้านนี้
“ตอนนี้ก็เริ่มมีลูกค้าจากพม่าติดต่อเข้ามา เขาทำงานเกี่ยวกับบริษัทยาอยู่ที่พม่า และอยากให้เราไปสอนที่นั่น ซึ่งก็เห็นเลยว่ายังมีโอกาสอีกเยอะนะ เพราะเมืองไทยเป็นเมืองแฟชั่นอยู่แล้ว เขารับรู้เราในเรื่องนี้ ยิ่งพอเรามีแฟชั่นที่ดี มีฮาวทูเรื่องการปรับภาพลักษณ์ด้วยแล้ว ก็จะยิ่งสร้างแต้มต่อในตลาดอาเซียน”
เธอบอกตัวอย่างโมเดลที่น่าสนใจ ของบริการให้คำปรึกษาแบบแพคเก็จ เริ่มจากการไปโค้ชเรื่องบุคลิกภาพให้กับลูกค้าที่ประเทศเพื่อนบ้าน โดยดีไซน์ออกมาเป็นหลักสูตร แล้วชวนเอาดีไซเนอร์ชาวไทย คนที่ทำแบรนด์เสื้อผ้าของไทย ให้ออกแบบเสื้อผ้าที่รับไปกับการปรับลุ้คของลูกค้าเพื่อนบ้าน จากนั้นอบรมเสร็จก็จัดทริปให้เขามาชอปปิ้งที่เมืองไทย
เรียกว่าไม่ได้ช่วยแค่ธุรกิจที่ปรึกษา แต่ยังปลุกตลาดแฟชั่นไทย ให้รุ่งโรจน์ไปด้วยจากโมเดลนี้
อย่างไรก็ตาม เธอบอกว่า คนที่จะเข้ามาทำธุรกิจนี้ คงไม่ใช่ “ใครก็ได้” อีกต่อไป เพราะการทำงานในระดับอาเซียน ผู้ให้บริการต้องมีความเป็น “มืออาชีพ” ซึ่งไม่ใช่แค่เก่งประสบการณ์ แต่ต้องมีการรับรองการทำงานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ยิ่งมีชั่วโมงบินสูงๆ ก็จะยิ่งได้รับการยอมรับ และเชื่อถือ ที่สำคัญต้องมีความสามารถทางด้านภาษา เพื่อสร้างแต้มต่อในเกมรุกฉากใหม่ เหนือน่านน้ำอาเซียน

วันที่ : 17 กุมภาพันธ์ 2557 09:00

PPS หุ้นใกล้ตัวที่บางคนไม่รู้จัก

  
         PPS หรือ บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจเป็นวิศวกรที่ปรึกษา และบริหารงานก่อสร้าง สำหรับโครงการต่าง ๆ เช่น อาคารสูง โรงแรม ห้างสรรพสินค้า คอนโด มหาวิทยาลัย ทางด่วน สนามบิน  โครงการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน รวมไปถึงงานบูรณะซ่อมแซม  งานตกแต่งอาคารและสิ่งปลูกสร้าง โดยจะเริ่มทำงาน ตั้งแต่ ช่วงก่อนการก่อสร้าง คือ ให้คำแนะนำ วางแผนและคัดเลือกผู้รับเหมา จัดซื้ออุปกรณ์ ไปจนถึง ตรวจสอบการก่อสร้างรวมไปถึงส่งมอบงานให้กับลูกค้า

สำหรับกลุ่มลูกค้าหลักของ PPS มีดังนี้
  • กลุ่ม Central
  • TESCO Lotus
  • โตโยต้า
  • Property Perfect
  • AP

สำหรับ Project ขนาดใหญ่ที่เคยทำในอดีต เช่น
  •  อาคารใบหยก 2
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย
  • โรงแรม แกรนด์ไชน่า
  • เกษร พลาซ่า
  • ศูนย์คอมพิวเตอร์และศูนย์ฝึกอบรม ธนาคารกรุงเทพ
  • อาคารที่พักผู้โดยสาร สนามบินสุวรรณภูมิ
  • โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์
  • เมกกะ บางนา
  • เซ็นทรัล พระราม 9
  • รถไฟฟ้าใต้ดิน สายสีน้าเงิน

จุดเด่น
  1. เป็นผู้เชี่ยวชาญในการก่อสร้าง สถาปัตยกรรมที่มีโครงสร้างซับซ้อน เช่น อาคารใบหยก 2 ซึ่งเป็นอาคารที่สูงที่สุดในประเทศไทย และ ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสีน้ำเงิน ซึ่งต้องขุดเจาะอุโมงลอดใต้แม่น้ำเจ้าพยา
  2. กลุ่มลูกค้า  Central และ TESCO Lotus เป็นกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัท ซึ่งมีการขยายสาขาตามการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ จำนวนสาขามากขึ้น รายได้ของ PPS ก็มากขึ้น
  3. เป็นบริษัทในกลุ่มที่ปรึกษาวิศวกร บริษัทแรกที่เข้าตลาดหลักทรัพย์
  4. มีกลุ่มลูกค้าที่มีความหลากหลาย และ เมื่อมีการขยายธุรกิจมักจะว่าจ้างบริษัทเดิมเข้ามาดูแล
  5. บริษัทได้ตั้ง PPS Training center โดยมีวัตถุประสงค์ในการอบรมพนักงานของบริษัท ให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการทำงาน
  6. ร่วมมือกับ บริษัท สวอน แอนด์ แมคคลาเรน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านออกแบบสถาปัตยกรรม ในสิงคโปร์
จุดอ่อน
  1. สัดส่วนงานโครงการจากภาครัฐยังน้อย เมื่อเทียบกับสัดส่วนงานเอกชน อาจมีความเสี่ยงในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว
โอกาส
  1. ธุรกิจขยายตัวตามการเติบโตตามโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถ้ามีการรถไฟฟ้าเกิดขึ้น ก็จะมีการสร้างคอนโด และห้างสรรรสินค้าตามมา ซึ่งกลุ่มลูกค้าของ PPS ครอบคลุม ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน และ กลุ่มคอนโด และ ห้างสรรรสินค้า
  2. บริษัทกำลังรุกไปในกลุ่มประเทศ AEC เช่น พม่า ลาว เนื่องจากเป็นประเทศที่กำลังจะขยายตัว  และยังขาดแคลนบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ
อุปสรรค
  1. ธุรกิจมีผลกระทบกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
  2. เป็นธุรกิจที่ขายความน่าเชื่อถือ ต้องอาศัยบุคคลากรที่มีคุณภาพ ถ้าบริษัทสามารถสร้างบุุคคลากรที่มีคุณภาพ และสามารถดึงบุคคลากรได้ ก็จะได้เปรียบ
คู่แข่ง
แวะเข้าไปดูความเคลื่อนไหวของบริษัทใน fan page  https://www.facebook.com/PPSGroup  แล้วรู้สึกอบอุ่น เห็นถึงความเป็น Team Work  แสดงว่าบริษัทกำลังเล็งเห็นถึงความสำคัญของวิศวกร



วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

"อยากมีเพื่อนใหม่" มูฟครั้งใหญ่หุ้น CHG (ข่าว)

            จากนี้ขอเติบโต ปีละ 10 เปอร์เซ็นต์ คำมั่นสัญญาของ “นพ.กำพล พลัสสินทร์” เอ็มดี โรงพยาบาลจุฬารัตน์ หุ้นไอพีโอที่ยังไม่เคยซื้อขายต่ำกว่าราคาจอง“ผมเห็นครอบครัวตกอยู่ในภาวะความ ยากจนมาตั้งแต่เด็ก เห็นของพ่อแม่เหนื่อยที่ต้องหาเงินมารักษาพี่ชายคนโตที่ป่วยเป็นโรคโปลิโอ ตอนนั้นพร่ำบอกกับตัวเองว่า แม้เราจะเป็นน้องคนที่ 3 จากจำนวนพี่น้อง 4 คน แต่เราต้องนำพาครอบครัวออกจากความยากจนให้ได้” “นายแพทย์กำพล พลัสสินทร์” กรรมการผู้จัดการ และผู้ถือหุ้นอันดับ 9 สัดส่วน 2.31 เปอร์เซ็นต์ “บมจ.โรงพยาบาลจุฬารัตน์” หรือ CHG เล่าความตั้งใจในวัยเยาว์ให้ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ฟังบมจ.โรงพยาบาลจุฬารัตน์ เดินเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ด้วยการขายหุ้นไอพีโอ 6.30 บาท มาไม่ถึงปี (เข้าตลาดหุ้นเมื่อวันที่ 16 พ.ค.2556) หุ้น โรงพยาบาลจุฬารัตน์ ก็ติดโผ 1 ใน SET 100 ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 “เราต้องเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ดีที่สุดแห่งภาคตะวันออก และในจังหวัดสมุทรปราการ ที่สำคัญเครือข่ายการให้บริการของเราต้องขยายตัวมากขึ้น” นั่นคือ ข้อความที่ “คุณหมอกำพล” พยายามส่งต่อถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อองค์กรในเวลานั้น“หมอกำพล” เล่าว่า ตระกูลพลัสสินทร์ ดั่งเดิมเป็นคนเชื้อสายจีน ฐานะเข้าข่ายยากจน พ่อทำงานเป็นลูกจ้างบริษัท ส่วนแม่ยึดอาชีพแม่บ้าน เมื่อ 50 กว่าปีก่อน เมืองไทยยังไม่มี “โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค” เหมือนปัจจุบัน ฉะนั้นพ่อกับแม่ต้องดิ้นรนหาเงินมารักษาพี่ชายที่ป่วยเป็นโรคโปลิโอเมื่อก่อนหากอยากได้รับการรักษาดีๆต้องไปใช้บริการคลีนิค ซึ่งพ่อกับแม่ก็ต้องยอม ทำให้ครอบครัวเริ่มมีหนี้สินจำนวนมาก เราเห็นพ่อกับแม่พาพี่ไปหาหมอประจำจึงบอกตัวเองทุกวันว่า หากเราทำอาชีพหมอครอบครัวคงไม่ลำบาก ตั้งแต่วันนั้นจึงตั้งใจเรียนหนังสือเพื่อให้ได้เป็นหมอดังใจหวังตอนโน้นพ่อตัดสินใจลาออกจากอาชีพลูกจ้างมาทำธุรกิจส่วนตัว ทำให้ฐานะทางการเงินของครอบครัวเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ เราจึงไม่ต้องรีบเรียนหนังสือ เพื่อออกมาทำงานช่วยครอบครัว ทำให้สามารถทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการเรียนอย่างเต็มที“อยากหลุดพ้นความยากจน คือ แรงบันดาลใจที่ทำให้ผมสอบติดคณะแพทยศาสตร์บัณทิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย”
             ถามถึง “จุดกำเนิด” ของ “โรงพยาบาลจุฬารัตน์” เขาเล่าว่า เกิดจากความร่วมมือระหว่างเพื่อนหมอที่มีเป้าหมายอยากช่วยเหลือคนจนเหมือน กันจำนวน 4 คน หลังเรียนจบหมอเราตัดสินใจเข้าทำงานในโรงพยาบาลรัฐบาลนานถึง 6 ปี แต่งานที่ทำอยู่ยังไม่ตอบโจทย์จึงตัดสินใจชวนเพื่อนๆออกมาตั้งคลีนิคเอง ด้วยทุนตั้งต้นประมาณ 1 ล้านบาท จากนั้นเราค่อยๆร่วมกันพัฒนาคลีนิคให้เติบโตมาเรื่อยๆแต่สุดท้ายการเปิดคลีนิคยังคงไม่ตอบโจทย์อยู่ดีจึงเกิดแนวคิดว่า คงต้องเปิดโรงพยาบาล หากอยากช่วยเหลือคนจนจริงๆ ผมและเพื่อนๆกลุ่มเดิมตัดสินใจเปิดโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 1 อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการเป็นแห่งแรกเมื่อ 27 ปีก่อน เงินลงทุนตั้งต้นนอกจากจะเป็นเงินทุนของตัวเองและของเพื่อนๆแล้วยังมาจากการ หยิบยืมเงินจากบรรดาญาติๆด้วย เพราะเราไม่ต้องการเป็นหนี้เยอะ ถามว่า ทำไมถึงเลือกเปิดโรงพยาบาลแห่งแรกในย่านบางพลี นั่นเป็นเพราะเราไม่อยากแข่งขันกับใครเปิดโรงพยาบาลแห่งแรกได้ไม่กี่ปี ภาครัฐบาลออกกฎหมาย “ประกันสังคม” เราในฐานะโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกรีบอาสารับดูแลผู้ป่วยประกันสังคมทันที เชื่อหรือไม่!!ปีแรกๆมีโรงพยาบาลเอกชนเพียง 2 แห่งเท่านั้นที่สนองกฎหมายดังกล่าว เราไม่กลัวคำว่า “ขาดทุน” เพราะอยากรช่วยเหลือคนจนมานานแล้ว นั บตั้งแต่เข้าโครงการเราไม่เคยขาดทุนเลยนะ (ยิ้ม)“หมอกำพล” บอกว่า เปิดโรงพยาบาลแห่งแรกได้สักระยะเกิดแนวความคิดอยากทำโรงพยาบาลให้เหมือนร้านสะดวกซื้อ “เซเว่น อีเลฟเว่น” (7-Eleven) ที่มีหลายๆสาขา เรียกว่า มีเกือบทุกมุมถนน เมื่อความคิดสะเด็ดน้ำ เราจึงปฎิบัติการ “ก๊อปปี้” วิธีการของร้านสะดวกซื้อชื่อดัง หวังให้การบริการเข้าถึงทุกชนชั้น ตั้งแต่ระดับต้น-กลาง-ใหญ่
โดยกลยุทธ์เจาะตลาด “ระดับต้น” คือ ต้องเปิดคลีนิคตามอำเภอต่างๆที่มีประชาชนอาศัยอยู่จำนวนมาก เพราะคลีนิคมักเข้าถึงชาวบ้านได้ง่ายกว่าโรงพยาบาลอย่างน้อยเขาก็ไม่ต้อง เดินทางให้เหนื่อยส่วนกลุ่มเป้าหมาย “ระดับกลาง” เราจะเปิดโรงพยาบาลที่มีเตียงผู้ป่วยจำนวน 30 เตียง เพื่อให้การบริการผู้ป่วยที่คลีนิคไม่สามารถรักษาได้ สำหรับเป้าหมาย “ระดับสูง” เราจะเป็นโรงพยาบาลที่มีเตียงผู้ป่วยจำนวน 100 เตียง ทำเหมือนโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 1,โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 และโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 3 เป็นต้นเราเรียกกลยุทธ์เหล่านี้ว่า “ส่งต่อผู้ป่วยเป็นขั้นตอน” ปัจจุบันถือว่า ยุทธศาสตร์ดังกล่าวประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยเฉพาะตลาดผู้ป่วยที่อยู่ในพื้นที่ของเรา ส่วนใหญ่เขารู้จักโรงพยาบาลจุฬารัตน์เป็นอย่างดี ทุกครั้งที่เขาเจ็บป่วยมักเข้ามาใช้บริการของเรา เพราะเขาเชื่อมั่นว่าเราจะทำให้เขาหายป่วยได้“เก่งแล้วต้องเฮงด้วย” หมอกำพล เชื่อเช่นนั้น หลังเราเปิดโรงพยาบาลไม่นาน รัฐบาลมีแผนก่อสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ส่งผลให้โรงพยาบาลจุฬารัตน์ที่มีสาขาล้อมรอบสนามบินสุวรรณภูมิเจริญเติบโต ตามไปด้วย หลังคนเริ่มมาอาศัยอยู่ใกล้ๆสนามบินมากขึ้น หมู่บ้าน คอนโดมิเนียม โรงงานอุตสาหกรรมผุดเพียบ“เอ็มดีใหญ่” เล่าต่อว่า เมื่อก่อนเราไม่เคยวางเป้าหมายสูงๆ ขอแค่ให้โรงพยาบาลเติบโตทุกปีเท่านี้ก็พอใจแล้ว แต่หลังจากเมื่อ 2 ปีก่อน เห็นข่าวตามหนังสือพิมพ์ และได้ยินคนพูดกันในวงกว้างว่า ในปี 2558 จะมีการเปิด “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” หรือ AEC และเมืองไทยจะเป็นหนึ่งในประเทศอาเซียน เมื่อเป็นเช่นนั้นคงถึงเวลาที่โรงพยาบาลจุฬารัตน์ต้องมีการเปลี่ยนแปลง“แล้วเราจะหาเงินจากไหนมาขยายการลงทุนก่อน AEC เปิดในปี 2558 ที่ไม่ใช่การกู้เงินหรือเพิ่มทุน” กลับบ้านไปคิดเรื่องนี้อยู่นาน สุดท้ายจึงตัดสินใจนำบริษัทเข้าตลาดหุ้น บริษัทมีกำไรตลอดไม่เคยขาดทุน แถมมีการบริหารงานที่โปร่งใส และจ่ายเงินโบนัสพนักงานทุกปี เขาบอกความสวยของฐานะการเงิน เราใช้เวลาเพียง 6 เดือน ในการเข้าระดมทุนเท่านั้นเขา เล่าต่อว่า จากนี้ไปอยากเห็นผลประกอบการเติบโตปีละ 10 เปอร์เซ็นต์ โดยเราจะมีรายได้และกำไรเข้ามา 2 ส่วน ซึ่ง “ส่วนแรก” เกิดจากการขยายสาขาใหม่ๆ และการขยายศักยภาพของสาขาเดิมๆ ในปี 2558 เราอยากเพิ่มเตียงผู้ป่วยเป็น 420 เตียง จากปัจจุบันที่มีอยู่ 380 เตียง“ส่วนที่สอง” คือ การเพิ่มขีดความสามารถในการรักษาโรคที่มีความซับซ้อน อาทิเช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคระบบทางเดินอาหาร และโรคที่เกี่ยวกับความสวยความงาม เป็นต้นสำหรับงบลงทุนขยายธุรกิจในปี 2557-2559 คงใช้เงินประมาณ 950 ล้านบาท โดยจำนวน 300 ล้านบาทจะใช้ในการขยายพื้นที่การให้บริการในโรงพยาบาลจุฬารัตน์สาขา 3 จำนวน 55 เตียง มูลค่า 300 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดบริการในปี 2558 นอกจากนั้นยังใช้ในการขยายสาขา 9 จำนวน 48 เตียง คาดว่าจะเปิดภายในปี 2559ถามถึง “จุดเด่น” ของโรงพยาบาลจุฬารัตน์ “หมอใหญ่” แจกแจงว่า ข้อแรก เราเป็นโรงพยาบาลที่มีกระบวนการรักษาที่มีคุณภาพและมาตรฐานปลอดภัยสูง ข้อสอง เราเป็นโรงพยาบาลที่เข้าถึงง่าย เพราะมีสาขามากมาย ข้อสุดท้าย เราสามารถให้การรักษาผู้ป่วยได้เกือบครบทุกสาขา เมื่อผู้ป่วยมาหาเราแล้วไม่จำเป็นต้องย้ายไปรักษาที่อื่น“เราดูแลผู้ป่วยแบบไม่มีรอยต่อ นี่ละความสวยของเรา”ถามถึงเรื่องที่บริษัทต้องปรับปรุง เขาบอกว่า คงต้องอัพเดทตัวเองตลอดเวลาในเรื่องของความก้าวหน้าทางการแพทย์ ทุกวันนี้มีบางโรคที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาและเครื่องมือที่ปรับ ปรุงระบบใหม่ๆ เราจะต้องเดินตามให้ทัน การวินิจฉัยโรคจะต้องรวดเร็วขึ้น สิ่งสำคัญคือ เทคโนโลยี หากต้องการให้โรงพยาบาลมีการเติบโต คุณต้องก้าวตามเทคโนโลยีให้ทัน หยุดรับสิ่งใหม่ๆเมื่อไร เราจะกลายเป็นโรงพยาบาลที่ล้าสมัย“คุณหมอ” ย้อนกลับไปเล่าถึงเรื่องการขยายสาขาโรงพยาบาลว่า ตั้งใจจะขยายสาขาโรงพยาบาลที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรม 304 จังหวัดปราจีนบุรี ล่าสุดเราได้ชักชวนทีมแพทย์ที่ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลราชองค์รักษ์ให้มาร่วม ลงทุนเฟส 2 จำนวน 150 เตียง มูลค่า 400 ล้านบาท สัดส่วนการลงทุนประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ หลังบริษัทเฟสแรกไปแล้วเดือนเม.ย. 2556อนาคตเราตั้งใจจะขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เน้นธุรกิจโรงพยาบาลเป็นหลัก เพิ่มเติมเพียงการหาพันธมิตร ซึ่งเพื่อนใหม่คนนี้ต้องมีแนวความคิดคล้ายๆเรา ยิ่งเขาเข้ามาแล้วทำให้ผลประกอบการของเราโตได้มากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์จะดีมาก เขายกตัวอย่างคุณสมบัติพันธมิตรที่ดีว่า หากผู้ร่วมทุนเป็นต่างชาติแล้วสามารถนำพาผู้ป่วยในประเทศของเขาเข้ามารักษา ในเมืองไทยได้ แบบนี้เราพร้อมเปิดให้เขาเข้ามาถือหุ้นบริษัท เราไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ยังได้เลย“หากพันธมิตรเมืองจีนสนใจร่วมลงทุนกับเราแล้วเขาสามารถดึงคนในประเทศเขา เข้ามาได้เราเปิดกว้างเลย แต่ปัจจุบันยังไม่มีใครเข้ามาคุย เพราะเรายังไม่เคยบอกใคร พอดีเราไม่ได้ขาดเงินทุน”“กรรมการผู้จัดการ” ทิ้งท้ายบทสนทนาด้วยการวิเคราะห์ ภาวะอุตสาหกรรมทางการแพทย์ว่า ท่ามกลางการแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรง โรงพยาบาลขนาดเล็กอาจเสียเปรียบ แต่หากโรงพยาบาลขนาดเล็กสามารถให้บริหารได้ครบวงจรก็สามารถอยู่ได้ แต่การให้บริการครบวงจรทุกสาขาจะมีต้นทุนที่สูง ฉะนั้นต้องบริหารความเสี่ยงให้ดีๆ“หากนักลงทุนคนใดซื้อหุ้น โรงพยาบาลจุฬารัตน์ ไปแล้ว โปรดมั่นใจได้เลยว่า คุณจะมีผลตอบแทนชนะเงินฝากธนาคาร ซื้อแล้วไม่ผิดหวังแน่นอน ล่าสุดเราเดินสายโรดโชว์พบว่า กองทุนต่างประเทศสนใจซื้อหุ้นเรามากขึ้น” เขาส่งสัญญาณข่าวดี

ที่มา  :  กรุงเทพธุรกิจออนไลน์   วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2557 01:00

PPS คาดภาคก่อสร้างชะลอ ปรับแผนเน้นลูกค้าเดิม-ลุยงานนอก (ข่าว)

“โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส” มองแนวโน้มภาคก่อสร้างชะลอตัว เผยแผนปรับกลยุทธ์รักษาอัตราการเติบโต ลุยรับงานบริหารโครงการกลุ่มประเทศ AEC ขณะที่ในประเทศเน้นรักษาฐานลูกค้าเดิม และมุ่งรับงานลูกค้าในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง ส่วน PPS DESIGN มั่นใจปีนี้กวาดงานในต่างประเทศเพิ่ม
 
       นายธัช ธงภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ PPS เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจก่อสร้าง และบริหารโครงการปี 57 ว่า อัตราการเติบโตของภาคธุรกิจโดยรวมมีแนวโน้มชะลอตัวจากปีที่ผ่านมา โดยเป็นผลจากนโยบายการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐมีความล่า ช้าออกไป และยังไม่มีความชัดเจนในการเริ่มต้นโครงการ ส่งผลให้ภาคเอกชนมีการชะลอการลงทุนในโครงการต่างๆ ด้วยเช่นกัน
 
       “ในปีนี้โครงการก่อสร้างของภาคธุรกิจต่างๆ รวมไปถึงโครงการภาครัฐจะยังคงมีการดำเนินการอยู่ แต่จะไม่ใช่โครงการขนาดใหญ่ และมีเป็นจำนวนมากอย่างช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม คาดว่าภาคธุรกิจเอกชนอีกหลายแห่งยังเล็งเห็นโอกาสในการลงทุน มีการลงทุนในโครงการระดับกลางอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการฟื้นตัวของภาคธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวผู้อยู่ในภาคธุรกิจก่อสร้างมีความจำเป็นต้องปรับ กลยุทธ์การดำเนินงาน เพื่อรักษาการดำเนินงานที่สร้างความมั่นคงทางธุรกิจด้วยเช่นกัน” นายธัชกล่าว
 
       ทั้งนี้ ผู้ดำเนินธุรกิจในภาคก่อสร้างมีความจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์การดำเนินงาน ซึ่ง PPS ในฐานะผู้นำในธุรกิจวิศวกรที่ปรึกษา และบริหารจัดการโครงการก่อสร้าง ได้มีการปรับแผน และกลยุทธ์ในปี 57 เพื่อขยายงานสู่ประเทศในกลุ่ม AEC มากขึ้น เช่น พม่า ลาว โดยจะเน้นการเข้าไปรับงานบริหารโครงการ งานออกแบบ โดยในปีนี้ตั้งเป้าหมายเข้ารับงานบริหารโครงการในประเทศพม่า อย่างน้อย 1 โครงการ ขณะที่การรับงานในประเทศจะเน้นเข้าไปเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ในกลุ่มผู้พัฒนา อสังหาริมทรัพย์มากขึ้น เนื่องจากเป็นภาคธุรกิจที่ยังมีการลงทุนต่อเนื่อง
 
       สำหรับงานด้านออกแบบของ PPS Design ตั้งเป้าหมายว่าในปี 57 จะขยายงานออกแบบให้เติบโตมากขึ้น โดยปัจจุบันมีงานใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง และอยู่ระหว่างเสนองานในหลากหลายกลุ่มทั้งภาคอุตสาหกรรม ที่พักอาศัย ศูนย์การค้า อาคารสถานศึกษา และกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งลูกค้าส่วนหนึ่งของบริษัทจะอยู่ในต่างประเทศ เช่น แอฟริกา ยูกันดา และเคนยา เป็นต้น
 
       นอกจากนี้ PPS ยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพบุคลากรซึ่งมีการฝึกอบรมต่างๆ เพื่อเสริมสร้างทักษะในการปฏิบัติงานอยู่เสมอ อีกทั้งมีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาช่วยเสริมในการทำงาน เพื่อให้เกิดความสะดวก และรวดเร็วในการบริหารจัดการ และลดต้นทุนการดำเนินงาน โดยล่าสุด PPS ได้มีการพัฒนาแอปพลิเคชัน Builk SiteWalk ใน App Store เพื่อให้ผู้ประกอบการด้านวิศวกรรมสามารถนำไปใช้สื่อสารหน้างานก่อสร้าง ในการรายงานความคืบหน้า และการตรวจรับงานได้จริง ซึ่งถือเป็นการขยายงานด้านไอทีที่เกี่ยวเนื่องกับงานวิศวกรรม ที่จะช่วยยกระดับความสามารถของบริษัทได้เป็นอย่างดี

ที่มา : http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9570000014381
เวลา  :   6 กุมภาพันธ์ 2557 11:16 น.