จากนี้ขอเติบโต
ปีละ 10 เปอร์เซ็นต์ คำมั่นสัญญาของ “นพ.กำพล พลัสสินทร์” เอ็มดี
โรงพยาบาลจุฬารัตน์ หุ้นไอพีโอที่ยังไม่เคยซื้อขายต่ำกว่าราคาจอง“ผมเห็นครอบครัวตกอยู่ในภาวะความ
ยากจนมาตั้งแต่เด็ก
เห็นของพ่อแม่เหนื่อยที่ต้องหาเงินมารักษาพี่ชายคนโตที่ป่วยเป็นโรคโปลิโอ
ตอนนั้นพร่ำบอกกับตัวเองว่า แม้เราจะเป็นน้องคนที่ 3 จากจำนวนพี่น้อง 4 คน
แต่เราต้องนำพาครอบครัวออกจากความยากจนให้ได้” “นายแพทย์กำพล พลัสสินทร์” กรรมการผู้จัดการ และผู้ถือหุ้นอันดับ 9 สัดส่วน 2.31 เปอร์เซ็นต์ “บมจ.โรงพยาบาลจุฬารัตน์” หรือ CHG เล่าความตั้งใจในวัยเยาว์ให้ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ฟังบมจ.โรงพยาบาลจุฬารัตน์ เดินเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)
ด้วยการขายหุ้นไอพีโอ 6.30 บาท มาไม่ถึงปี (เข้าตลาดหุ้นเมื่อวันที่ 16
พ.ค.2556) หุ้น โรงพยาบาลจุฬารัตน์ ก็ติดโผ 1 ใน SET 100 ในช่วง 6
เดือนแรกของปี 2557 “เราต้องเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ดีที่สุดแห่งภาคตะวันออก
และในจังหวัดสมุทรปราการ
ที่สำคัญเครือข่ายการให้บริการของเราต้องขยายตัวมากขึ้น” นั่นคือ
ข้อความที่ “คุณหมอกำพล”
พยายามส่งต่อถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อองค์กรในเวลานั้น“หมอกำพล” เล่าว่า ตระกูลพลัสสินทร์
ดั่งเดิมเป็นคนเชื้อสายจีน ฐานะเข้าข่ายยากจน พ่อทำงานเป็นลูกจ้างบริษัท
ส่วนแม่ยึดอาชีพแม่บ้าน เมื่อ 50 กว่าปีก่อน เมืองไทยยังไม่มี “โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค” เหมือนปัจจุบัน ฉะนั้นพ่อกับแม่ต้องดิ้นรนหาเงินมารักษาพี่ชายที่ป่วยเป็นโรคโปลิโอเมื่อก่อนหากอยากได้รับการรักษาดีๆต้องไปใช้บริการคลีนิค
ซึ่งพ่อกับแม่ก็ต้องยอม ทำให้ครอบครัวเริ่มมีหนี้สินจำนวนมาก
เราเห็นพ่อกับแม่พาพี่ไปหาหมอประจำจึงบอกตัวเองทุกวันว่า
หากเราทำอาชีพหมอครอบครัวคงไม่ลำบาก
ตั้งแต่วันนั้นจึงตั้งใจเรียนหนังสือเพื่อให้ได้เป็นหมอดังใจหวังตอนโน้นพ่อตัดสินใจลาออกจากอาชีพลูกจ้างมาทำธุรกิจส่วนตัว
ทำให้ฐานะทางการเงินของครอบครัวเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ
เราจึงไม่ต้องรีบเรียนหนังสือ เพื่อออกมาทำงานช่วยครอบครัว
ทำให้สามารถทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการเรียนอย่างเต็มที“อยากหลุดพ้นความยากจน คือ แรงบันดาลใจที่ทำให้ผมสอบติดคณะแพทยศาสตร์บัณทิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย”
ถามถึง “จุดกำเนิด” ของ “โรงพยาบาลจุฬารัตน์” เขาเล่าว่า เกิดจากความร่วมมือระหว่างเพื่อนหมอที่มีเป้าหมายอยากช่วยเหลือคนจนเหมือน กันจำนวน 4 คน หลังเรียนจบหมอเราตัดสินใจเข้าทำงานในโรงพยาบาลรัฐบาลนานถึง 6 ปี แต่งานที่ทำอยู่ยังไม่ตอบโจทย์จึงตัดสินใจชวนเพื่อนๆออกมาตั้งคลีนิคเอง ด้วยทุนตั้งต้นประมาณ 1 ล้านบาท จากนั้นเราค่อยๆร่วมกันพัฒนาคลีนิคให้เติบโตมาเรื่อยๆแต่สุดท้ายการเปิดคลีนิคยังคงไม่ตอบโจทย์อยู่ดีจึงเกิดแนวคิดว่า คงต้องเปิดโรงพยาบาล หากอยากช่วยเหลือคนจนจริงๆ ผมและเพื่อนๆกลุ่มเดิมตัดสินใจเปิดโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 1 อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการเป็นแห่งแรกเมื่อ 27 ปีก่อน เงินลงทุนตั้งต้นนอกจากจะเป็นเงินทุนของตัวเองและของเพื่อนๆแล้วยังมาจากการ หยิบยืมเงินจากบรรดาญาติๆด้วย เพราะเราไม่ต้องการเป็นหนี้เยอะ ถามว่า ทำไมถึงเลือกเปิดโรงพยาบาลแห่งแรกในย่านบางพลี นั่นเป็นเพราะเราไม่อยากแข่งขันกับใครเปิดโรงพยาบาลแห่งแรกได้ไม่กี่ปี ภาครัฐบาลออกกฎหมาย “ประกันสังคม” เราในฐานะโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกรีบอาสารับดูแลผู้ป่วยประกันสังคมทันที เชื่อหรือไม่!!ปีแรกๆมีโรงพยาบาลเอกชนเพียง 2 แห่งเท่านั้นที่สนองกฎหมายดังกล่าว เราไม่กลัวคำว่า “ขาดทุน” เพราะอยากรช่วยเหลือคนจนมานานแล้ว นั บตั้งแต่เข้าโครงการเราไม่เคยขาดทุนเลยนะ (ยิ้ม)“หมอกำพล” บอกว่า เปิดโรงพยาบาลแห่งแรกได้สักระยะเกิดแนวความคิดอยากทำโรงพยาบาลให้เหมือนร้านสะดวกซื้อ “เซเว่น อีเลฟเว่น” (7-Eleven) ที่มีหลายๆสาขา เรียกว่า มีเกือบทุกมุมถนน เมื่อความคิดสะเด็ดน้ำ เราจึงปฎิบัติการ “ก๊อปปี้” วิธีการของร้านสะดวกซื้อชื่อดัง หวังให้การบริการเข้าถึงทุกชนชั้น ตั้งแต่ระดับต้น-กลาง-ใหญ่
โดยกลยุทธ์เจาะตลาด “ระดับต้น” คือ ต้องเปิดคลีนิคตามอำเภอต่างๆที่มีประชาชนอาศัยอยู่จำนวนมาก เพราะคลีนิคมักเข้าถึงชาวบ้านได้ง่ายกว่าโรงพยาบาลอย่างน้อยเขาก็ไม่ต้อง เดินทางให้เหนื่อยส่วนกลุ่มเป้าหมาย “ระดับกลาง” เราจะเปิดโรงพยาบาลที่มีเตียงผู้ป่วยจำนวน 30 เตียง เพื่อให้การบริการผู้ป่วยที่คลีนิคไม่สามารถรักษาได้ สำหรับเป้าหมาย “ระดับสูง” เราจะเป็นโรงพยาบาลที่มีเตียงผู้ป่วยจำนวน 100 เตียง ทำเหมือนโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 1,โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 และโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 3 เป็นต้นเราเรียกกลยุทธ์เหล่านี้ว่า “ส่งต่อผู้ป่วยเป็นขั้นตอน” ปัจจุบันถือว่า ยุทธศาสตร์ดังกล่าวประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยเฉพาะตลาดผู้ป่วยที่อยู่ในพื้นที่ของเรา ส่วนใหญ่เขารู้จักโรงพยาบาลจุฬารัตน์เป็นอย่างดี ทุกครั้งที่เขาเจ็บป่วยมักเข้ามาใช้บริการของเรา เพราะเขาเชื่อมั่นว่าเราจะทำให้เขาหายป่วยได้“เก่งแล้วต้องเฮงด้วย” หมอกำพล เชื่อเช่นนั้น หลังเราเปิดโรงพยาบาลไม่นาน รัฐบาลมีแผนก่อสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ส่งผลให้โรงพยาบาลจุฬารัตน์ที่มีสาขาล้อมรอบสนามบินสุวรรณภูมิเจริญเติบโต ตามไปด้วย หลังคนเริ่มมาอาศัยอยู่ใกล้ๆสนามบินมากขึ้น หมู่บ้าน คอนโดมิเนียม โรงงานอุตสาหกรรมผุดเพียบ“เอ็มดีใหญ่” เล่าต่อว่า เมื่อก่อนเราไม่เคยวางเป้าหมายสูงๆ ขอแค่ให้โรงพยาบาลเติบโตทุกปีเท่านี้ก็พอใจแล้ว แต่หลังจากเมื่อ 2 ปีก่อน เห็นข่าวตามหนังสือพิมพ์ และได้ยินคนพูดกันในวงกว้างว่า ในปี 2558 จะมีการเปิด “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” หรือ AEC และเมืองไทยจะเป็นหนึ่งในประเทศอาเซียน เมื่อเป็นเช่นนั้นคงถึงเวลาที่โรงพยาบาลจุฬารัตน์ต้องมีการเปลี่ยนแปลง“แล้วเราจะหาเงินจากไหนมาขยายการลงทุนก่อน AEC เปิดในปี 2558 ที่ไม่ใช่การกู้เงินหรือเพิ่มทุน” กลับบ้านไปคิดเรื่องนี้อยู่นาน สุดท้ายจึงตัดสินใจนำบริษัทเข้าตลาดหุ้น บริษัทมีกำไรตลอดไม่เคยขาดทุน แถมมีการบริหารงานที่โปร่งใส และจ่ายเงินโบนัสพนักงานทุกปี เขาบอกความสวยของฐานะการเงิน เราใช้เวลาเพียง 6 เดือน ในการเข้าระดมทุนเท่านั้นเขา เล่าต่อว่า จากนี้ไปอยากเห็นผลประกอบการเติบโตปีละ 10 เปอร์เซ็นต์ โดยเราจะมีรายได้และกำไรเข้ามา 2 ส่วน ซึ่ง “ส่วนแรก” เกิดจากการขยายสาขาใหม่ๆ และการขยายศักยภาพของสาขาเดิมๆ ในปี 2558 เราอยากเพิ่มเตียงผู้ป่วยเป็น 420 เตียง จากปัจจุบันที่มีอยู่ 380 เตียง“ส่วนที่สอง” คือ การเพิ่มขีดความสามารถในการรักษาโรคที่มีความซับซ้อน อาทิเช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคระบบทางเดินอาหาร และโรคที่เกี่ยวกับความสวยความงาม เป็นต้นสำหรับงบลงทุนขยายธุรกิจในปี 2557-2559 คงใช้เงินประมาณ 950 ล้านบาท โดยจำนวน 300 ล้านบาทจะใช้ในการขยายพื้นที่การให้บริการในโรงพยาบาลจุฬารัตน์สาขา 3 จำนวน 55 เตียง มูลค่า 300 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดบริการในปี 2558 นอกจากนั้นยังใช้ในการขยายสาขา 9 จำนวน 48 เตียง คาดว่าจะเปิดภายในปี 2559ถามถึง “จุดเด่น” ของโรงพยาบาลจุฬารัตน์ “หมอใหญ่” แจกแจงว่า ข้อแรก เราเป็นโรงพยาบาลที่มีกระบวนการรักษาที่มีคุณภาพและมาตรฐานปลอดภัยสูง ข้อสอง เราเป็นโรงพยาบาลที่เข้าถึงง่าย เพราะมีสาขามากมาย ข้อสุดท้าย เราสามารถให้การรักษาผู้ป่วยได้เกือบครบทุกสาขา เมื่อผู้ป่วยมาหาเราแล้วไม่จำเป็นต้องย้ายไปรักษาที่อื่น“เราดูแลผู้ป่วยแบบไม่มีรอยต่อ นี่ละความสวยของเรา”ถามถึงเรื่องที่บริษัทต้องปรับปรุง เขาบอกว่า คงต้องอัพเดทตัวเองตลอดเวลาในเรื่องของความก้าวหน้าทางการแพทย์ ทุกวันนี้มีบางโรคที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาและเครื่องมือที่ปรับ ปรุงระบบใหม่ๆ เราจะต้องเดินตามให้ทัน การวินิจฉัยโรคจะต้องรวดเร็วขึ้น สิ่งสำคัญคือ เทคโนโลยี หากต้องการให้โรงพยาบาลมีการเติบโต คุณต้องก้าวตามเทคโนโลยีให้ทัน หยุดรับสิ่งใหม่ๆเมื่อไร เราจะกลายเป็นโรงพยาบาลที่ล้าสมัย“คุณหมอ” ย้อนกลับไปเล่าถึงเรื่องการขยายสาขาโรงพยาบาลว่า ตั้งใจจะขยายสาขาโรงพยาบาลที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรม 304 จังหวัดปราจีนบุรี ล่าสุดเราได้ชักชวนทีมแพทย์ที่ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลราชองค์รักษ์ให้มาร่วม ลงทุนเฟส 2 จำนวน 150 เตียง มูลค่า 400 ล้านบาท สัดส่วนการลงทุนประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ หลังบริษัทเฟสแรกไปแล้วเดือนเม.ย. 2556อนาคตเราตั้งใจจะขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เน้นธุรกิจโรงพยาบาลเป็นหลัก เพิ่มเติมเพียงการหาพันธมิตร ซึ่งเพื่อนใหม่คนนี้ต้องมีแนวความคิดคล้ายๆเรา ยิ่งเขาเข้ามาแล้วทำให้ผลประกอบการของเราโตได้มากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์จะดีมาก เขายกตัวอย่างคุณสมบัติพันธมิตรที่ดีว่า หากผู้ร่วมทุนเป็นต่างชาติแล้วสามารถนำพาผู้ป่วยในประเทศของเขาเข้ามารักษา ในเมืองไทยได้ แบบนี้เราพร้อมเปิดให้เขาเข้ามาถือหุ้นบริษัท เราไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ยังได้เลย“หากพันธมิตรเมืองจีนสนใจร่วมลงทุนกับเราแล้วเขาสามารถดึงคนในประเทศเขา เข้ามาได้เราเปิดกว้างเลย แต่ปัจจุบันยังไม่มีใครเข้ามาคุย เพราะเรายังไม่เคยบอกใคร พอดีเราไม่ได้ขาดเงินทุน”“กรรมการผู้จัดการ” ทิ้งท้ายบทสนทนาด้วยการวิเคราะห์ ภาวะอุตสาหกรรมทางการแพทย์ว่า ท่ามกลางการแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรง โรงพยาบาลขนาดเล็กอาจเสียเปรียบ แต่หากโรงพยาบาลขนาดเล็กสามารถให้บริหารได้ครบวงจรก็สามารถอยู่ได้ แต่การให้บริการครบวงจรทุกสาขาจะมีต้นทุนที่สูง ฉะนั้นต้องบริหารความเสี่ยงให้ดีๆ“หากนักลงทุนคนใดซื้อหุ้น โรงพยาบาลจุฬารัตน์ ไปแล้ว โปรดมั่นใจได้เลยว่า คุณจะมีผลตอบแทนชนะเงินฝากธนาคาร ซื้อแล้วไม่ผิดหวังแน่นอน ล่าสุดเราเดินสายโรดโชว์พบว่า กองทุนต่างประเทศสนใจซื้อหุ้นเรามากขึ้น” เขาส่งสัญญาณข่าวดี
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2557 01:00
ถามถึง “จุดกำเนิด” ของ “โรงพยาบาลจุฬารัตน์” เขาเล่าว่า เกิดจากความร่วมมือระหว่างเพื่อนหมอที่มีเป้าหมายอยากช่วยเหลือคนจนเหมือน กันจำนวน 4 คน หลังเรียนจบหมอเราตัดสินใจเข้าทำงานในโรงพยาบาลรัฐบาลนานถึง 6 ปี แต่งานที่ทำอยู่ยังไม่ตอบโจทย์จึงตัดสินใจชวนเพื่อนๆออกมาตั้งคลีนิคเอง ด้วยทุนตั้งต้นประมาณ 1 ล้านบาท จากนั้นเราค่อยๆร่วมกันพัฒนาคลีนิคให้เติบโตมาเรื่อยๆแต่สุดท้ายการเปิดคลีนิคยังคงไม่ตอบโจทย์อยู่ดีจึงเกิดแนวคิดว่า คงต้องเปิดโรงพยาบาล หากอยากช่วยเหลือคนจนจริงๆ ผมและเพื่อนๆกลุ่มเดิมตัดสินใจเปิดโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 1 อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการเป็นแห่งแรกเมื่อ 27 ปีก่อน เงินลงทุนตั้งต้นนอกจากจะเป็นเงินทุนของตัวเองและของเพื่อนๆแล้วยังมาจากการ หยิบยืมเงินจากบรรดาญาติๆด้วย เพราะเราไม่ต้องการเป็นหนี้เยอะ ถามว่า ทำไมถึงเลือกเปิดโรงพยาบาลแห่งแรกในย่านบางพลี นั่นเป็นเพราะเราไม่อยากแข่งขันกับใครเปิดโรงพยาบาลแห่งแรกได้ไม่กี่ปี ภาครัฐบาลออกกฎหมาย “ประกันสังคม” เราในฐานะโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกรีบอาสารับดูแลผู้ป่วยประกันสังคมทันที เชื่อหรือไม่!!ปีแรกๆมีโรงพยาบาลเอกชนเพียง 2 แห่งเท่านั้นที่สนองกฎหมายดังกล่าว เราไม่กลัวคำว่า “ขาดทุน” เพราะอยากรช่วยเหลือคนจนมานานแล้ว นั บตั้งแต่เข้าโครงการเราไม่เคยขาดทุนเลยนะ (ยิ้ม)“หมอกำพล” บอกว่า เปิดโรงพยาบาลแห่งแรกได้สักระยะเกิดแนวความคิดอยากทำโรงพยาบาลให้เหมือนร้านสะดวกซื้อ “เซเว่น อีเลฟเว่น” (7-Eleven) ที่มีหลายๆสาขา เรียกว่า มีเกือบทุกมุมถนน เมื่อความคิดสะเด็ดน้ำ เราจึงปฎิบัติการ “ก๊อปปี้” วิธีการของร้านสะดวกซื้อชื่อดัง หวังให้การบริการเข้าถึงทุกชนชั้น ตั้งแต่ระดับต้น-กลาง-ใหญ่
โดยกลยุทธ์เจาะตลาด “ระดับต้น” คือ ต้องเปิดคลีนิคตามอำเภอต่างๆที่มีประชาชนอาศัยอยู่จำนวนมาก เพราะคลีนิคมักเข้าถึงชาวบ้านได้ง่ายกว่าโรงพยาบาลอย่างน้อยเขาก็ไม่ต้อง เดินทางให้เหนื่อยส่วนกลุ่มเป้าหมาย “ระดับกลาง” เราจะเปิดโรงพยาบาลที่มีเตียงผู้ป่วยจำนวน 30 เตียง เพื่อให้การบริการผู้ป่วยที่คลีนิคไม่สามารถรักษาได้ สำหรับเป้าหมาย “ระดับสูง” เราจะเป็นโรงพยาบาลที่มีเตียงผู้ป่วยจำนวน 100 เตียง ทำเหมือนโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 1,โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 และโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 3 เป็นต้นเราเรียกกลยุทธ์เหล่านี้ว่า “ส่งต่อผู้ป่วยเป็นขั้นตอน” ปัจจุบันถือว่า ยุทธศาสตร์ดังกล่าวประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยเฉพาะตลาดผู้ป่วยที่อยู่ในพื้นที่ของเรา ส่วนใหญ่เขารู้จักโรงพยาบาลจุฬารัตน์เป็นอย่างดี ทุกครั้งที่เขาเจ็บป่วยมักเข้ามาใช้บริการของเรา เพราะเขาเชื่อมั่นว่าเราจะทำให้เขาหายป่วยได้“เก่งแล้วต้องเฮงด้วย” หมอกำพล เชื่อเช่นนั้น หลังเราเปิดโรงพยาบาลไม่นาน รัฐบาลมีแผนก่อสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ส่งผลให้โรงพยาบาลจุฬารัตน์ที่มีสาขาล้อมรอบสนามบินสุวรรณภูมิเจริญเติบโต ตามไปด้วย หลังคนเริ่มมาอาศัยอยู่ใกล้ๆสนามบินมากขึ้น หมู่บ้าน คอนโดมิเนียม โรงงานอุตสาหกรรมผุดเพียบ“เอ็มดีใหญ่” เล่าต่อว่า เมื่อก่อนเราไม่เคยวางเป้าหมายสูงๆ ขอแค่ให้โรงพยาบาลเติบโตทุกปีเท่านี้ก็พอใจแล้ว แต่หลังจากเมื่อ 2 ปีก่อน เห็นข่าวตามหนังสือพิมพ์ และได้ยินคนพูดกันในวงกว้างว่า ในปี 2558 จะมีการเปิด “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” หรือ AEC และเมืองไทยจะเป็นหนึ่งในประเทศอาเซียน เมื่อเป็นเช่นนั้นคงถึงเวลาที่โรงพยาบาลจุฬารัตน์ต้องมีการเปลี่ยนแปลง“แล้วเราจะหาเงินจากไหนมาขยายการลงทุนก่อน AEC เปิดในปี 2558 ที่ไม่ใช่การกู้เงินหรือเพิ่มทุน” กลับบ้านไปคิดเรื่องนี้อยู่นาน สุดท้ายจึงตัดสินใจนำบริษัทเข้าตลาดหุ้น บริษัทมีกำไรตลอดไม่เคยขาดทุน แถมมีการบริหารงานที่โปร่งใส และจ่ายเงินโบนัสพนักงานทุกปี เขาบอกความสวยของฐานะการเงิน เราใช้เวลาเพียง 6 เดือน ในการเข้าระดมทุนเท่านั้นเขา เล่าต่อว่า จากนี้ไปอยากเห็นผลประกอบการเติบโตปีละ 10 เปอร์เซ็นต์ โดยเราจะมีรายได้และกำไรเข้ามา 2 ส่วน ซึ่ง “ส่วนแรก” เกิดจากการขยายสาขาใหม่ๆ และการขยายศักยภาพของสาขาเดิมๆ ในปี 2558 เราอยากเพิ่มเตียงผู้ป่วยเป็น 420 เตียง จากปัจจุบันที่มีอยู่ 380 เตียง“ส่วนที่สอง” คือ การเพิ่มขีดความสามารถในการรักษาโรคที่มีความซับซ้อน อาทิเช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคระบบทางเดินอาหาร และโรคที่เกี่ยวกับความสวยความงาม เป็นต้นสำหรับงบลงทุนขยายธุรกิจในปี 2557-2559 คงใช้เงินประมาณ 950 ล้านบาท โดยจำนวน 300 ล้านบาทจะใช้ในการขยายพื้นที่การให้บริการในโรงพยาบาลจุฬารัตน์สาขา 3 จำนวน 55 เตียง มูลค่า 300 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดบริการในปี 2558 นอกจากนั้นยังใช้ในการขยายสาขา 9 จำนวน 48 เตียง คาดว่าจะเปิดภายในปี 2559ถามถึง “จุดเด่น” ของโรงพยาบาลจุฬารัตน์ “หมอใหญ่” แจกแจงว่า ข้อแรก เราเป็นโรงพยาบาลที่มีกระบวนการรักษาที่มีคุณภาพและมาตรฐานปลอดภัยสูง ข้อสอง เราเป็นโรงพยาบาลที่เข้าถึงง่าย เพราะมีสาขามากมาย ข้อสุดท้าย เราสามารถให้การรักษาผู้ป่วยได้เกือบครบทุกสาขา เมื่อผู้ป่วยมาหาเราแล้วไม่จำเป็นต้องย้ายไปรักษาที่อื่น“เราดูแลผู้ป่วยแบบไม่มีรอยต่อ นี่ละความสวยของเรา”ถามถึงเรื่องที่บริษัทต้องปรับปรุง เขาบอกว่า คงต้องอัพเดทตัวเองตลอดเวลาในเรื่องของความก้าวหน้าทางการแพทย์ ทุกวันนี้มีบางโรคที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาและเครื่องมือที่ปรับ ปรุงระบบใหม่ๆ เราจะต้องเดินตามให้ทัน การวินิจฉัยโรคจะต้องรวดเร็วขึ้น สิ่งสำคัญคือ เทคโนโลยี หากต้องการให้โรงพยาบาลมีการเติบโต คุณต้องก้าวตามเทคโนโลยีให้ทัน หยุดรับสิ่งใหม่ๆเมื่อไร เราจะกลายเป็นโรงพยาบาลที่ล้าสมัย“คุณหมอ” ย้อนกลับไปเล่าถึงเรื่องการขยายสาขาโรงพยาบาลว่า ตั้งใจจะขยายสาขาโรงพยาบาลที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรม 304 จังหวัดปราจีนบุรี ล่าสุดเราได้ชักชวนทีมแพทย์ที่ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลราชองค์รักษ์ให้มาร่วม ลงทุนเฟส 2 จำนวน 150 เตียง มูลค่า 400 ล้านบาท สัดส่วนการลงทุนประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ หลังบริษัทเฟสแรกไปแล้วเดือนเม.ย. 2556อนาคตเราตั้งใจจะขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เน้นธุรกิจโรงพยาบาลเป็นหลัก เพิ่มเติมเพียงการหาพันธมิตร ซึ่งเพื่อนใหม่คนนี้ต้องมีแนวความคิดคล้ายๆเรา ยิ่งเขาเข้ามาแล้วทำให้ผลประกอบการของเราโตได้มากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์จะดีมาก เขายกตัวอย่างคุณสมบัติพันธมิตรที่ดีว่า หากผู้ร่วมทุนเป็นต่างชาติแล้วสามารถนำพาผู้ป่วยในประเทศของเขาเข้ามารักษา ในเมืองไทยได้ แบบนี้เราพร้อมเปิดให้เขาเข้ามาถือหุ้นบริษัท เราไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ยังได้เลย“หากพันธมิตรเมืองจีนสนใจร่วมลงทุนกับเราแล้วเขาสามารถดึงคนในประเทศเขา เข้ามาได้เราเปิดกว้างเลย แต่ปัจจุบันยังไม่มีใครเข้ามาคุย เพราะเรายังไม่เคยบอกใคร พอดีเราไม่ได้ขาดเงินทุน”“กรรมการผู้จัดการ” ทิ้งท้ายบทสนทนาด้วยการวิเคราะห์ ภาวะอุตสาหกรรมทางการแพทย์ว่า ท่ามกลางการแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรง โรงพยาบาลขนาดเล็กอาจเสียเปรียบ แต่หากโรงพยาบาลขนาดเล็กสามารถให้บริหารได้ครบวงจรก็สามารถอยู่ได้ แต่การให้บริการครบวงจรทุกสาขาจะมีต้นทุนที่สูง ฉะนั้นต้องบริหารความเสี่ยงให้ดีๆ“หากนักลงทุนคนใดซื้อหุ้น โรงพยาบาลจุฬารัตน์ ไปแล้ว โปรดมั่นใจได้เลยว่า คุณจะมีผลตอบแทนชนะเงินฝากธนาคาร ซื้อแล้วไม่ผิดหวังแน่นอน ล่าสุดเราเดินสายโรดโชว์พบว่า กองทุนต่างประเทศสนใจซื้อหุ้นเรามากขึ้น” เขาส่งสัญญาณข่าวดี
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2557 01:00
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น