วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2559

การเปิดบัญชีหุ้น

             เมื่อเราศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นอย่างละเอียดดีแล้ว รู้จักผลตอบแทนและความเสี่ยงจากการลงทุนดีแล้ว  ขั้นตอนต่อมาคือติดต่อโบรกเกอร์ ซึ่งเป็นตัวกลางในการซื้อขายหุ้น  ท่านจะสมัครผ่านอินเทอร์เน็ต หรือติดต่อที่โบรกเกอร์โดยตรงก็ได้ สามารถเข้าไปดูรายชื่อโบรกเกอร์เพื่อทำการสมัครได้จาก Link นี้ >> รายซื่อโบรกเกอร์
            สำหรับขั้นตอนสมัครทางอินเตอร์เน็ต ก็มีจะแบบฟอร์มให้กรอก และหลักฐานที่ต้องใช้ในการสมัคร จากนั้นทางก็ Print แล้วส่งมาตามที่อยู่ที่บริษัทให้ไว้ รอการอนุมัติประมาณ 1 สัปดาห์

ประเภทบัญชีหุ้น แบ่งเป็น 3 ประเภทด้วยกันดังนี้


1.บัญชีเงินฝาก (Cash Balance Account หรือ Prepaid) 
เป็นบัญชีที่เราสามารถซื้อขายหุ้นได้เท่ากับจำนวนเงินที่นำมาฝากไว้กับทางโบรกเกอร์ คือมีเท่าไรสามารถซื้อขายได้เท่านั้น  เหมือนเราเอาเงินมาฝากไว้กับธนาคาร เวลาจะเอาไปใช้ก็ถอนได้ตามจำนวนเงินที่มี    ข้อดี คือสร้างวินัยในการลงทุน สามารถควบคุมการซื้อขายได้ ทำให้ไม่เผลอไปเล่นเกินตัว

2. บัญชีเงินสด (Cash Account หรือ Normal Cash)

เป็นบัญชีที่โบรกเกอร์จะพิจารณาอนุมัติวงเงินให้นักลงทุน ตามหลักฐานการเงิน เช่น บัญชีเงินฝากธนาคาร, สลิปเงินเดือน หรือโฉนดที่ดิน โดยจะต้องฝากเงินเพื่อเป็นหลักประกันไว้จำนวนหนึ่ง และจะต้องชำระค่าซื้อหลักทรัพย์ภายใน 3 วันทำการนับจากวันที่ซื้อหลักทรัพย์ (*T+3)   ซึ่งนักลงทุนสามารถโอนเงินหรือตัดเงินผ่านบัญชีเงินฝากธนาคารอัตโนมัติ ( *ATS )

*T+3   T หมายถึงวันที่เราซื้อหรือขายหุ้น เช่น ถ้าเราซื้อหุ้นวันจันทร์ เราต้องชำระเงินภายใน 3 วัน คือ อังคาร พุธ พฤหัส
* ATS หมายถึง บัญชีเงินฝากธนาคารที่ใช้สำหรับชำระค่าซื้อขายหลักทรัพย์ โดยบริษัทจะดําเนินการตัดเงินในบัญชีธนาคารของลูกค้าตามคําสั่งของลูกค้าผ่านระบบหักบัญชีอัตโนมัติ ของธนาคารตามที่ลูกค้าได้แจ้งข้อมูลไว้
ข้อดี ของการเปิดบัญชีเงินสดคือลูกค้าสามารถเพิ่มอำนาจการซื้อหลักทรัพย์มากกว่าจำนวนเงินที่ตนเองมีอยู่ได้  แต่ต้องชำระเงินภายใน (T+3)

3. บัญชีเครดิตบาลานซ์ (Credit Balance Account) 
เป็นบัญชีเงินกู้ยืมเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ โดยต้องเสียดอกเบี้ยตามที่โบรกเกอร์กำหนด โดยนักลงทุนจะต้องวางเงินสดหรือหลักทรัพย์จดทะเบียนเป็นประกัน โดยส่วนใหญ่จะยืมเงินโบรกเกอร์ 50 % เงินตนเอง 50%  ถ้ากำไรก็จะให้ผลตอบแทนที่สูง แต่ถ้าขาดทุนก็จะขาดทุนมากเช่นกัน

สำหรับเอกสารที่ใช้เปิดบัญชีหุ้นมีดังนี้  

  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน บัตรข้าราชการ หรือหนังสือเดินทาง
  • สำเนาทะเบียนบ้าน
  • สำเนาสมุดเงินฝากย้อนหลัง 3-6 เดือน (แนะนำให้ยอดคงเหลือสุดท้ายเยอะหน่อย)
  • ค่าอากรแสตมป์ 30 บาท  ( บางโบรกก็ไม่ต้อง )
แนะนำเตรียมไว้อย่างละ 2 ชุด    อย่าลืมเซนต์สำเนาถูกต้องด้วยนะครับ!!!!

วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2559

เริ่มต้นศึกษาหาข้อมูลหุ้นได้จากที่ไหน

อันดับแรกควรศึกษาในเว็บของตลาดหลักทรัพย์ เพราะเป็นข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นกลางที่สุด

1.  http://www.set.or.th/  เป็นเว็บของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  ซึ่งเป็นที่รวบรวมข้อมูลหุ้นทั้งหมดที่มีในตลาด

  • ถ้าต้องการดูข้อมูลหุ้นรายตัวให้  คลิกไปที่   ข้อมูลบริษัท/หลักทรัพย์  > ตราสารทุน >  ข้อมูลรายบริษัท/หลักทรัพย์  หรือ ถ้าจำชื่อย่อหุ้นได้ให้พิมพ์ชื่อย่อลงในช่อง Get Quote
  • มีห้องเรียนนักลงทุน สอนการลงทุนหุ้นตั้งแต่เริ่มต้น มีแบบประเมินการลงทุนให้ทำด้วยครับ!!
  • ข้อมูลหุ้น IPO,  ข่าวสารต่างๆ ที่แจ้งกับทางตลาดหลักทรัพย์, สรุปข้อมูลการซื้อขาย
2.  http://www.settrade.com/  เป็นศูนย์รวมข้อมูลให้กับนักลงทุนของตลาดหลักทรัพย์อีกแห่งหนึ่ง

  • มีบทวิเคราะห์หุ้นรายตัวของโบรกเกอร์ต่างๆ รวมทั้งราคาเป้าหมายของหุ้นแต่ละตัว
  • blogger บทความที่เขียนด้วยกูรูชั้นเซียนของนักลงทุน เช่น ดร นิเวศน์ 
  • งานสัมนาหุ้น, ข่าวสารต่างๆ,  บทความสำหรับมือใหม่,  และคลิปวิดีโอแนะนำการลงทุน
  • สรุปข้อมูลการซื้อขายหุ้น
  • มีโปรแกรมจำลองเทรดหุ้นด้วยภาวะตลาดจริงhttp://click2win.settrade.com/SETClick2WIN/index.jsp
     
3. http://www.moneychannel.co.th/  ช่องรายการที่มีแต่ข้อมูลการลงทุน รวมทั้งข่าวสารที่มีการอัพเดดอยู่ตลอดเวลา
 ช่องรายงานการต่างๆ ที่แนะนำให้ดู 
  • ก้าวทันตลาดทุน   สรุปข่าวภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงเช้า นักลงทุนควรจะต้องดูทุกวัน ถ้าวันไหน ข่าวออกมาไม่ดีมีแต่ข่าวร้าย SET มักจะลง เป็นอย่างนี้ 80%
  • ข่าวร้อนก่อนเทรด  สรุปข่าวร้อนที่เป็นประเด็นส่วนใหญ่จะเป็นข่าวบริษัทจดทะเบียน
  • Insight Inspire  เป็นรายการที่เอาผู้บริหารมาเล่าถึงความเป็นมาของธุรกิจ แรงบันดาลใจในการทำธุรกิจ และเป้าหมายในอนาคต
  • ห้องเรียนนักลงทุน Season 3  เป็นรายการของตลาดหลักทรัพย์ที่นำผู้ที่สนใจลงทุนหุ้น มาสอนเป็นคอร์สออนไลน์
  • HARD TOPIC   รายการที่นำนักวิชาการมาพูดคุยในประเด็นที่สำคัญทางเศรษฐกิจ 
  • Business Model  รายการที่นำผู้บริหารมาพูดคุยเกี่ยวกับโมเดลของธุรกิจว่าอนาคตจะเติบโตอย่างไร  โดยเอากูรูนักลงทุน 2 คน มาฟันธงว่าเป็นหุ้นเติบโตหรือไม่
  • Smart Money  รายการสอนการวางแผนทางการเงิน
  • มือใหม่ Turn Pro   รายที่นำนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมาพูดคุย แบ่งปันความรู้
  • หุ้นโค้งสุดท้าย  สรุปการลงทุนท้ายตลาด
  • MONEY TALK WEEKLY 1  รายการที่นำสาระเกี่ยวกับ การดำเนินชีวิต การเงินและการลงทุน
  • MONEY TALK WEEKLY 2 รายการที่นำผู้บริหารที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และ mai มาสัมภาษณ์
มีรายการอื่นๆอีกที่น่าสนใจลองไปเปิดดูกันนะครับ


4.ไปที่เว็บไซต์ของหุ้นตัวนั้นเลยให้หาคำว่า นักลงทุนสัมพันธ์ จะมีข้อมูลสารต่าง ๆ ที่ทางบริษัทเขาต้องการนำเสนอ


5.ไปห้องสมุดมารวย มีหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนให้ยืมฟรี  http://www.maruey.com/



6. http://hoonebook.blogspot.com/ แหล่งรวมหนังสือหุ้นให้ไปอ่านกันฟรี มีเยอะมาก

วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2559

หุ้นคืออะไร

             

              ความหมายของหุ้นแบบบ้านๆ  คือ หุ้นส่วนหรือส่วนในการเป็นเจ้าของกิจการ  ขอยกตัวอย่างเช่น ในกรณีที่เราต้องการทำธุรกิจร้านกาแฟ  แต่เรามีเงินไม่พอ เราก็ต้องหาหุ้นส่วน เพื่อเอามาระดมทุน ใครเอาเงินมาลงทุนมาก ก็ได้ผลตอบแทนกลับคืนมามาก ตามจำนวนเงินที่ได้ลงขันกันไว้ ความหมายของหุ้นในตลาดหุ้นก็เช่นเดียวกัน แต่ต่างกันที่ สิทธิในการเป็นเจ้าของหรือหุ้นส่วน จะทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ โดยตลาดหลักทรัพย์จะทำหน้าที่ตรวจสอบกำกับดูแลสิทธิประโยชน์ของผู้ถือหุ้น ให้เป็นไปอย่างเป็นธรรม
             บริษัทที่ต้องการระดมทุน ก็จะต้องมาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเอาหุ้นเข้าตลาด ออกขายให้ประชาชาชนทั่วไปในตลาดครั้งแรกเรียกว่า IPO หลังจากนั้นบริษัทก็ได้จำนวนเงินเพื่อไปลงทุนขยายกิจการ เช่น จัดซื้อวัตถุดิบ หรือชำระหนี้ก็แล้วแต่เมื่อได้กำไร ก็จ่ายคืนผู้ถือหุ้นเป็นเงินปันผล  ถ้าผู้ถือหุ้นไม่ต้องการลงทุนต่อ ก็ขายหุ้นเพื่อเอากำไรส่วนต่าง
              ประชนชนที่ต้องการจะซื้อหุ้น ก็ต้องมาเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์  ซึ่งจะทำการซื้อขายด้วยคอมพิวเตอร์ โดยมี Username และ Password  เพื่อให้ลูกค้าเข้าไปทำการซื้อขายได้ด้วยตนเอง โดยจะมีเมนูให้เลือก จำนวนหุ้นและราคาที่ต้องการจะทำการซื้อขาย
         

ลงทุนในหุ้นมีดีอย่างไร

  1. ได้ปันผลมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร  โดยปกติเงินฝากได้แค่ 0.75 % สูงสุดก็ได้แค่ 3% แถมต้องมาเสีย  ค่าบัตร ATM  ปีละ 200 บาท แต่หุ้นได้ปันผลเฉลี่ย 1-5%  ถ้าซื้อกองทุนหุ้นก็ได้ถึง 7-8%
  2. สร้างความมั่งคั่งได้อย่างรวดเร็ว จากการได้กำไรส่วนต่างและเงินปันผล สมมุติว่าเราซื้อหุ้นเซเว่น ตอนระดมทุนครั้งแรกมี 10 สาขา ปีต่อมากิจการขยายเป็น 20 สาขา และปีต่อมาขยายสาขาเป็น 40 สาขา ลองคิดดู เราลงทุนแค่ครั้งแรก แต่มีผลกำไรเติบโตขึ้นเรื่อยๆ บริษัทย่อมจ่ายปันผลมาก ตราบใดที่เรายังถือหุ้นอยู่ บริษัทก็ยังจ่ายปันผลให้เรา แถมยังสามารถขายหุ้นในราคาที่สูงอีกด้วย
  3. เป็นการให้เงินทำงานไม่ต้องเสียเวลาบริหารเอง
  4. ใช้เงินลงทุนน้อยแต่สามารถเป็นหุ้นส่วนบริษัทยักษ์ใหญ่ได้ อย่างเช่น ถ้าเราอยากเป็นเจ้าของห้างเซ็นทรัล เราก็ไปซื้อหุ้น CPN โดยขั้นต่ำของการซื้อหุ้นแต่ละครั้งคือ 100 หุ้น


    วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

    ดูข้อมูลเงินปันผลจากศูนย์ฝากหลักทรัพย์ (TSD)

    เมื่อเราต้องการรู้ว่าปลายปีได้เงินปันผลจากหุ้นเท่าไร ไม่ต้องมานับรวมจากใบสีส้ม ๆ  อีกต่อไปครับเดี๋ยวนี้ เราสามารถดูข้อมูลได้ทาง TSD สะดวกรวดเร็ว

    สำหรับขั้นตอนมีดังนี้ครับ
    1. เราต้องสมัครสมาชิกกับ TSD ก่อนครับ ไปที่  www.set.or.th/tsd (ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์)  เลือกเมนู  Investor Portal  แล้วสมัครสมาชิกครับ
    2. กรอกเลขที่บัตรประชาชนให้เรียบร้อยครับ
    3. ขอข้ามบ้างขั้นตอนที่ไม่สำคัญนะครับ ขั้นตอนนี้ต้องนำเอาสำเนาบัตรประชนชนถ่ายเอกสารแล้วถ่ายรูปแนบไปครับ
    4. หลังจากสมัครสมาชิกเสร็จสมบรูณ์ทาง TSD จะส่ง Password มาที่มือถือของเรา ตามหมายเลขโทรศัพท์ที่สมัครสมาชิกไว้ ส่วนชื่อผู้ใช้งานจะเป็น Email ครับ จากนั้นให้เราเปลี่ยน Password
    5. Login เข้าระบบแล้ว เลือกเมนูพิมพ์รายงาน
    6. เลือกปี แล้วคลิกที่ ไฟล์ PDF รอสักครู่จะได้ไฟล์ดังรูป
    7. แต่ถ้าหากต้องการนำไปยื่นภาษีต้องเลือกเมนูอื่นครับ โดยเลือก ดาวน์โหลดข้อมูลภาษี สำหรับการยื่นแบบๆ ผ่่านอินเทอร์เน็ต สำหรับมาตรา 40(4)(ข) รอสักครู่จะได้ไฟล์นามสกุล .enc  ห้ามแก้ไขชื่อไฟล์นะครับ 
    สำหรับคราวหน้าจะมาดูขั้นตอนการขอคืนเครดิตปันผลกัน.................